ตำนานรักอันขมขื่น ของ ขุนหลวงมะลังก๊ะ กับพระนางจามเทวี

26 มีนาคม 2018, 14:24:22

ตีเต กาเล ในกาลอดีตอันล่วงพ้นไปแล้ว ในสมัยที่ผู้ข้ายังเป็นฝนเป็นลมอยู่นั้น มีตำนานได้กล่าวถึงชนชาติโบราณที่ปกครองในดินแดนภาคเหนือ ก่อนที่จะมีอาณาจักรล้านนาเกิดขึ้น ดินแดนแถบนี้เคยปกครองด้วยชนเผ่าลั๊วะหรือละว้า กษัตริย์ลั๊วะมีพระนามว่า วิลังคะ หรือ มะลังก๊ะ เป็นผู้ครองนครมิลักขะ (เดาๆ ว่าอยู่แถวเชียงใหม่ปัจจุบัน)พระองค์มีฤทธาอานุภาพยิ่งนัก ทรงกรีฑาทัพไปปราบหัวเมืองน้อยใหญ่ใกล้เคียงจนราบคาบไปหมดสิ้น



ต่อมาเมื่อ “วาสุเทพฤาษี” ได้สร้างนครหริภุญชัยขึ้น แต่ยังไม่มีกษัตริย์มาปกครอง วาสุเทพฤาษีจึงได้ส่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ให้ถือสาส์นไปยังนครละโว้ ขอให้ส่งกษัตริย์ขึ้นมาปกครองนครนี้ด้วย กษัตริย์แห่งละโว้นคร จึงได้ส่งธิดาของพระองค์พระนามว่า”พระนางจามเทวี” ซึ่งพระนางได้มีพระสวามีแล้วเป็นเจ้าประเทศราชแห่งหนึ่ง แต่พระสวามีติดธุระราชการไม่สามารถมาด้วย พระนางจึงเสด็จมาตามลำพัง พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ขณะนั้นพระนางมีพระครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว เมื่อเสด็จมาถึงนครใหม่แห่งนี้ ชาวเมืองได้พร้อมใจกันอัญเชิญพระนางขึ้นครองราชย์และให้นามเมืองใหม่ว่า “นครหริภุญชัย” กาลต่อมาไม่นานพระนางก็ประสูติราชโอรสฝาแผดนามว่า “มหายศ” และ “อนันตยศ”

ข่าวนครหริภุญชัยมีกษัตริย์เป็นหญิง มีรูปร่างหน้าตาสวยงามยิ่งนัก ประกอบกับนครนี้เจริญก้าวหน้ารวดเร็ว ทำให้ขุนหลวงวิลังคะสนพระทัย อยากจะได้นางมาเป็นอัครมเหสี นอกจากนั้นยังเป็นการรวมอาณาจักรของสองนครไว้ด้วยกัน พระองค์จึงให้อำมาตย์นำพระราชสาส์นถึงพระนางจามเทวี พร้อมด้วยของกำนัลมีแก้วแหวนเงินทองมากมาย ฝ่ายพระนางจามเทวี เมื่อได้รับพระราชสาส์น์ของขุนหลวงวิลังคะแล้ว พระนางรู้สึกไม่สบายพระทัยยิ่งนัก เพราะพระนางพึ่งมาปกครองใหม่ๆ บ้านเมืองยังไม่เข้มแข็ง ทะแกล้วทหารก็ยังมีไม่เพียงพอที่จะต่อกรด้วย

หากพระนางกล่าวปฏิเสธไป ประชาชนพลเมืองคงจะได้รับความเดือดร้อนเป็นแน่ นครหริภุญชัยคงไม่พ้นเงื้อมมือกษัตริย์ลั๊วะ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ผ่อนหนักเป็นเบา พระนางจึงตรัสบอกแก่อำมาตย์ของขุนหลวงวิลังคะว่า”ข้าพเจ้าทราบความในพระราชสาส์น์สิ้นแล้ว ขอขอบพระทัยพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นหญิง จะรับปากง่ายๆก็เกรงจะเป็นที่ครหานินทาแก่คนทั่วไป ฉะนั้นขอพระองค์ลองเสี่ยงเสน่าดู หากพระองค์มีบุญญาธิการและอิทธิฤทธิ์มากจริง ขอให้เสน่านั้นพุ่งมาตกใจกลางเมืองหริภุญชัยด้วยเถิด”

อำมาตย์ก็นำพระราชสาส์น์ของพระนางจามเทวีกลับมากราบทูลให้ขุนหลวงวิลังคะๆ ทรงทราบความในพระราชสาส์น์แล้ว พระองค์ทรงทรงพระโสมนัสยิ่งนัก ทรงพระขำเอิ๊กอ๊ากๆ “อย่าว่าแต่นครหริภุญชัยแล้ว ต่อให้ไกลถึง เขลางค์นคร หรือนันทบุรี พระองค์ก็ไม่ทรงวิตก"



ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นขุนหลวงวิลังคะพร้อมเสนาคู่พระทัยจึงได้ขึ้นไปบนเขาสุเทพ(ดอยสุเทพ) เมื่อถึงบนยอดเขาแล้วพระองค์ก็ร่ายพระเวทย์เรียกพลังทั้งหลายที่มี แล้วทรงกวัดแกว่งเสน่าพร้อมกับพุ่งขึ้นสู่อากาศ เสน่าแหวกอากาศเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่วฟ้า
พร้อมกับพุ่งไปตกกลางนครหริภุญชัย เมื่อเสน่าได้ตกมาถึงนครเช่นนี้พระนางมิอาจบ่ายเบี่ยงได้ จึงยินยอมที่จะอภิเษกกับขุนหลวงวิลังคะ โดยพระนางให้จัดพิธีขี้นในเดือนแปดที่มาถึงนี้

พอถึงเดือนแปด ขุนหลวงมิลังคะ ก็นำขบวนขันหมากไปยังนครหริภุญชัย เมื่อไปถึงพระนางจามเทวีตรัสว่า “พระองค์ทรงมาผิดเวลาแล้ว ในสัญญาว่าจะมาอภิเษกสมรสตอนเดือนแปด" ขณะนี้เดือนสิบแล้ว ถ้าไม่เชื่อลองถามประชาชนดู ด้วยความสงสัยพระองค์จึงถามประชาชน ทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เดือนนี้เป็นเดือนสิบจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุนหลวงวิลังคะจำต้องยกขันหมากกลับนครมิลักขะ (เดือนทางเหนือจะไวกว่าเดือนที่อื่นไปสองเดือน)

ฝ่ายพระนางจามเทวี หาวิธีที่จะทำลายอำนาจอิทธิฤทธิ์ของขุนหลวงวิลังคะ จึงได้ส่งพระราชสาส์นไปถึงขุนหลวงวิลังคะ พร้อมกับพระมาลา(หมวก) ที่พระนางเย็บมากับมือ มอบให้และขอให้ขุนหลวงวิลังคะทรงเสี่ยงพุ่งเสน่าอีกครั้งหนึ่งจะยินยอมอภิเษกด้วยแน่นอน OK ขุนหลวงวิลังคะทรงดีพระทัยที่พระนางจามเทวีมีใจให้ตน จึงเอาพระมาลานั้นสวมใส่ แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนดอยสุเทพอีกครั้ง เมื่อไปถึงพระองค์ก็ร่ายพระเวทย์ เรียกพลังทั้งหลาย แต่ปรากฏว่าครั้งนี้ไม่เหมือนก่อน เรี่ยวแรงพลังอำนาจ หายไปสิ้น เสน่าที่พุ่งออกไปสุดแรง ปรากฏว่าไปตกที่ตีนดอยสุเทพนั่นเอง ที่เสน่าตกนี้เรียกว่า หนองเสน่า มาจนถึงทุกวันนี้

พระองค์รู้สึกแปลกพระทัยที่พละกำลังพระเวทย์ที่มีอยู่ทำไมจึงเสื่อมไปสิ้น ในที่สุดก็ทราบว่า พระมาลาที่พระนางจามเทวีส่งมาเป็นของกำนัลนั้น แท้จริงแล้วทำด้วยฉลลองพระองค์ชั้นใน จึงข่มพลังอำนาจพระเวทย์ของพระองค์จนหมดสิ้น เมื่อถูกเหยียดหยามเช่นนี้ ขุนหลวงวิลังคะจึงกรีฑาทัพ ด้วยขบวนลี้พลจำนวนมหาศาลมุ่งโจมตีนครหริภุญชัยให้แหลกลาญ เสียงเสนาทหารโห่ร้องปานแผ่นดินถล่มทลาย ชาวลั๊วะต่างแย่งกันรบ เพราะทุกคนแค้นที่พระราชาของตนถูกลบหลู่เกียรติ ต่างถกเถียงกันเป็นแม่ทัพนายกอง ที่ๆทหารเถียงกัน ปัจจุบันเรียกว่า หนองเส้ง ซึ่งเดิมเรียกหนองเสง เนื่องจากทหารที่อาสาออกรบมีจำนวนมากจนไปยืนพิงต้นยาง ทำให้ต้นยางเอนเอียงไปหมด ปัจจุบันหมู่บ้านนี้ยังคงเรียกว่า “บ้านยางเนิ้ง”

เมื่อศึกประชิดเมืองพระนางจามเทวี จึงมอบหมายให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ควบคุมบัญชาการรบแทน พระนางให้เบิกพญาเศวตกุญชร “ช้างปู้ก่ำงาเขียว” เมื่อช้างปู้ก่ำงาเขียวออกมา ก็แผดกัมปนาท 3 ครั้ง แล้วบ่ายหน้ามุ่งสู่กองทัพขุนหลวงวิลังคะ เหล่าเสนาทหารของขุนหลวงวิลังคะ มองเห็นช้าง สูงใหญ่ตัวดำ งายาวเขียว มีแสงไฟโพยพุ่งออกจากปลายงา ต่างแตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน เป็นโอกาสให้ชาวเมืองหริภุญชัยไล่ติดตามฆ่าฟันทหารลั๊วะล้มตายเป็นจำนวนมาก ขุนหลวงวิลังคะหนีกลับนคร หลังจากนั้นไม่กี่วันพระองค์ก็ประชวร และเสด็จสู่สวรรคตในเวลาต่อมา ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระทัยพระองค์ตรัสสั่งให้เสนานำพระศพขึ้นไปบรรจุไว้บนยอดเขาสูงพอมองเห็นนครหริภุญชัย




เมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรคต เสนาก็ปฏิบัติตาม โดยได้เคลื่อนพระศพออกจากนครไปทางทิศตะวันตก นำขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ขณะนั้นได้เกิดลมพายุขึ้นพัดดอกไม้และเครื่องตกแต่งพระศพตกกระจายไปทั่ว ที่นี่ชาวบ้านเรียกว่า “กิ่วแมวปลิว” เนื่องจากพระศพขึ้นเขาหลายวัน พระศพจึงเน่า มีน้ำเหลืองตกลงมาแล้วไหลไปรวมกัน ทำให้มีกลิ่นเหม็นเน่า ชาวบ้านเรียกว่า”ขลุกน้ำเน่า” ยิ่งสูงขึ้นไป ฆ้องกลองที่นำไปก็หนักและเอาไปลำบาก พวกหาบฆ้องหาบกลองจึงทำลายเสีย เขาลูกนี้จึงชื่อว่า “ดอยผ่าฆ้องผ่ากลอง” เสนานำพระศพขึ้นไปจนสุดยอดดอยจนมองเห็นนครหริภุญชัยได้ชัดเจน จึงจัดบรรจุพระศพไว้ที่นี่ และเรียกที่ตรงนี้ว่า “ม่อนคว่ำหล้อง”(หรือเนินคว่ำโลง) เขาลูกนี้ปัจจุบันมองเห็นชัดเจนทางด้านอำเภอแม่ริม

และเสน่าที่ขุนหลวงวิลังคะพุ่งไปตกครั้งแรกพระนางจามเทวีให้คนขุดเอามูลดินไปสร้างพระเจดีย์เพื่อล้างเสนียด เจดีย์แห่งนี้เรียกว่า “กู่พระลบ” ตรงที่ช้างปู๊ก่ำงาเขียวแผดเสียงร้องเดี๋ยวนี้เป็น”วัดช้างร้อง” และทีฝังช้างปู๊ก่ำงาเขียวปัจุบันเรียก กู่ช้าง ลำห้วยโลหิตไหลลงจนน้ำแดงฉานนั้นเรียกว่า “เหมืองขี้เลือด” และที่สำคัญที่สุดคือชื่อนครหริภุญชัย อีกชื่อหนึงซึ่งเรียกกันตราบเท่าทุกวันนี้ คือลำพูน นั้น แผลงมาจากคำว่า “ลั๊วะพุ่ง” นั่นเอง และเรื่องราว ของสองนครในอดีตก็จบลงเพียงเท่านี้ …..



บทความที่คุณอาจสนใจ

ประวัติศาสตร์ล้านนา ประวัติศาสตร์โลก ความเปลี่ยนแปลงแต่ละยุค พ.ศ. -------------- ที่มา - สมาชิกเชียงรายโฟกัส คุณเชียงรายพันธุ์แท้

เรื่องเล่าของนางรำจากอีกด้านของกระจก ใน โรงเรียนแห่งหนึ่ง

ชื่อเดิม ของแต่ละจังหวัดใน ประเทศไทย ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

ตำนานกล่าวว่า.ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่นี่พร้อมพระสาวก.เมื่อมาถึงจอมสัก.มีพญานาคสองพี่น้องนำภัตตาหารมาถวายแด่พระพุทธเจ้า.พระองค์ทรงมอบพระเกศาให้รักษาไว้

ภาพวาดเจ้านางจากรัฐฉาน

บริษัท ไชยนารายณ์ โกลเบิ้ล จำกัด

66 หมู่1 ถนนโชคชัย4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพ 10320

Tel ซื้อสินค้า : 063 5599 896

Tel ซื้อสินค้า : 092 891 2277

Tel ท่องเที่ยว :

Line ซื้อสินค้า : @chainarai

Line ท่องเที่ยว : @chainarai

Email : chainarai456@gmail.com

แผนที่

เพจ สิบสองปันนา หลวงพระบาง

เพจ เชียงตุง อยู่ดีกินหวาน